ความรักของแม่ เป็นความรักที่ไม่มีข้อแม้ เพราะแม่มีแต่ให้อภัยเสมอ เช่นเดียวกับความรักของพระเจ้าได้ส่งพระเยซูมาบังเกิดในโลกนี้ และได้มาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนและในวันที่ 3 พระเยซูได้ฟื้นขึ้นจากความตาย นั่นคือความรักของพระเจ้าที่ทรงมีต่อเรา เหมือนกับความรักของแม่ที่รักลูกสุดหัวใจ แม่ต้องทำงานหนักมีรายได้น้อย , แม่เป็นคนรับใช้ทำทุกอย่างซักผ้าทำอาหาร , แม่เป็นเหมือนธนาคารลูกต้องการอะไรก็ซื้อมาให้ แม่เป็นเหมือนหมอที่คอยดูแลเอาใจใส่ นั่นเป็นคุณสมบัติของแม่และมีอีกหลายๆอย่าง อิสยาห์66.13 ดั่งผู้ที่มารดาของตนเล้าโลมเราจะเล้าโลมเจ้าเช่นนั้นและเจ้าจะรับการเล้าโลมในเยรูซาเล็ม เป็นช่วงเวลาของอิสยาห์ คนอิสราเอลชอบดื้อดึง ตกเป็นเชลยของบาบิโลน เนื่องจากการเชื่อฟังพระเจ้า แต่พระเจ้าก็ยังรักและให้โอกาส เหมือนกับแม่ที่รักลูกเวลาที่ลูกทำผิด แม่ก็จะปลอบใจลูกเพื่อให้ลูกหายโศกเศร้า พระเจ้าทำเช่นนี้กับชนชาติอิสราเอลที่ในยามที่เราท้อใจ
มัทธิว 15:21-28พระเยซูเจ้าทรงรักษาบุตรหญิงของหญิงชาวคานาอัน
พระเยซูมุ่งไปเขตเมืองไทระและเมืองไซดอน พระองค์จึงต้องการเวลาส่วนตัว แต่อีกส่วนหนึ่งที่สำคัญกว่าคือการเตรียมตัวบรรดาศิษย์ของพระองค์ให้พร้อมรับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น และพร้อมที่จะสืบสานภารกิจของพระองค์ต่อไป แต่ความเป็นส่วนตัวของพระองค์ก็ไม่มีแล้วเนื่องจากมีหญิงชาวคานาอันซึ่งบุตรสาวของนางกำลังทนทุกข์หนัก นางคงได้ยินกิตติศัพท์ของพระองค์จึงเข้ามาร้องขอความช่วยเหลืออย่างสุดหัวใจ ทีแรกดูเหมือนพระองค์จะไม่สนพระทัยเสียงร้องของนางมากนัก กลับเป็นพวกศิษย์เสียอีกที่ทูลขอให้พระองค์ช่วยเหลือนาง แต่แรงจูงใจของพวกเขา หาใช่ความเมตตาแต่ประการใดไม่พวกเขาทนรำคาญเสียงตื้อของนางไม่ไหว เลยอยากให้พระองค์ช่วยเหลือเพื่อนางจะได้ไปให้พ้นหูพ้นตาเสียที !
เช่นเดียวกับชีวิตของเราเวลาที่เรามีปัญหาให้ขอพระเจ้าช่วยเราแต่คำตอบบางครั้งไม่ทันใจ เราอย่าท้อใจเช่นเดียวกับหญิงคานาอันผู้นี้ที่ไม่ท้อแถมยังโดนสาวกไล่เนื่องจากนั้นนางเป็นชาวคานาอันเป็นคนต่างชาติ ยังเป็นศัตรูเก่าแก่ของชาวยิวตั้งแต่เข้าสู่แผ่นดินแห่งพระสัญญาใหม่ ๆ แม้ในสมัยของพระองค์เอง แต่พระเยซูคริสต์ได้บอกกับสาวกว่าเรามาในโลกนี้เพื่อช่วยคนบาปและคนที่หลงหาย หลายครั้งเราอาจจะปฏิเสธคนที่ขอจากเรา เราจะขาดพระพรของพระเจ้า
นางเข้ามากราบพระองค์ทูลว่า “พระเจ้าข้า โปรดช่วยข้าพเจ้าด้วยเถิด”พระองค์ทรงตอบว่า “ไม่สมควรที่จะเอาอาหารของลูก มาโยนให้ลูกสุนัขกิน” นางทูลว่า ถูกแล้วพระเจ้าข้า แต่แม้แต่ลูกสุนัขก็ยังได้กินเศษอาหารที่ตกจากโต๊ะของนายพระองค์จึงเริ่มการทดสอบด้วยคำพูดที่ทำให้คนฟังต้องสะอึก “ไม่สมควรที่จะเอาอาหารของลูกมาโยนให้ลูกสุนัขกิน” สำหรับ ชาวยิว การเรียกคน ๆ หนึ่ง เป็น “สุนัข” ถือว่าเป็นการดูหมิ่นเหยียดหยาม แต่นางตอบพระเยซูว่า“ถูกแล้วพระเจ้าข้า แต่แม้แต่ลูกสุนัขก็ยังได้กินเศษอาหารที่ตกจากโต๊ะของนาย” พระเยซูได้เห็นถึงความเชื่อของนาง พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับนางว่า “หญิงเอ๋ย ความเชื่อของเจ้ายิ่งใหญ่ จงเป็นไปตามที่เจ้าปรารถนาเถิด”
นางมีความรัก แม้จะเป็นคนต่างศาสนา แต่นางแบกรับความทุกข์ทรมานของบุตรสาวไว้ที่ตัวนางเอง หัวใจของนางเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักต่อบุตรสาว“ความรัก” นี้เองที่ชักนำให้นางมาหาชายแปลกหน้าที่ชื่อ “เยซู” และเป็นความรักนี้เองที่ทำให้นางอดทนต่อการเมินเฉย และมองเห็นความเมตตาที่ซ่อนอยู่ใต้คำพูดเชิงดูหมิ่นเหยียดหยามของพระองค์“ความรัก” คือพลังผลักดันที่มีอานุภาพเหนือสิ่งอื่นใดและเหนืออื่นใด “ความรัก” ทำให้เราเข้าใกล้ “พระเจ้า” ในฐานะที่เป็นแม่ ให้เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูก คือสร้างความเชื่อให้กับลูกด้วยการเลี้ยงลูกให้อยู่ในทางพระเจ้าได้ดังนี้
1.อธิษฐานเผื่อลูก อย่าท้อในการอธิษฐาน ให้อธิษฐานขอพระเจ้าเป็นผู้ที่เปลี่ยน
2. แม่ต้องเลี้ยงลูกให้อยู่ในทางของพระเจ้าเพราะลูกเป็นฝีพระหักตร์พระเจ้า
3.เมื่อลูกเราทำผิดพลาด ให้แม่อภัยและอวยพรลูกต่อไปและชีวิตแม่ก็จะเป็นพระพรให้คนอื่นได้สัมผัสถึงความรักของพระเจ้า
วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม 2015
แบ่งปันพระพร อจ.ยุวดี ยะเกษม